วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

บำรุงผิว ด้วย น้ำผลไม้

บำรุงผิว ด้วย น้ำผลไม้

skincar-with-juice


สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นเนื้อหาที่ VISA ค่อนข้างชอบค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นเนื้อหาของการดูแลผิวพรรณ  แล้ว ยังมีเรื่องของความอร่อยด้วยค่ะ เพราะวันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์ต่างๆ ของน้ำผลไม้กันค่ะ ที่ว่า บำรุงผิว ด้วย น้ำผลไม้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอามาอาบกันนะคะ ถ้าทำแบบนั้นเปลืองตายเลยค่ะ เรากำลังพูดถึงการดื่มน้ำผลไม้นั่นแล่ะค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องถามเพื่อนๆ ว่า วันนี้ ได้ดื่มน้ำผลไม้ หรือทานผลไม้กันบ้างหรือยังคะ ถ้ายัง VISA ว่าน่าจะลองหามาทานซักหน่อยก็จะดีนะคะ เพราะว่าการทานผลไม้ หรือ ดื่มน้ำผลไม้ เป็นการ บำรุงผิว จากภายใน เพราะเมื่อสุขภาพดีแล้ว มันจะส่งผลออกมายังผิวพรรณของเราไงล่ะคะ แล้วน้ำผลไม้ต่างๆ นั้น มีคุณประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เรามาดูกันเลยค่ะ
น้ำส้มค้น เราเริ่มกันที่น้ำนางเอก ของเราก่อนเลยละกันนะคะ น้ำส้มเป็นน้ำที่อุดมไปด้วย วิตามินซี (Vitamin C) สูง และยังมี วิตามินเอ (Vitamin A) และ วิตามินบี1บี2 (Vitamin B1, B2) ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล ป้องกันโรคไข้หวัด
น้ำมะนาว อุดมไปด้วย วิตามินซี (Vitamin C) และมีวิตามินบี2 (Vitamin B2) รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ ช่วยป้องกันไข้หวัด และช่วยรักษาผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
น้ำมะละกอ อันนี้หมายถึงมะละกอสุกนะคะ ไม่ใช่น้ำมะละกอ ในรูปแบบ น้ำส้มตำ (ปู ปลาร้า) จะมีปริมาณ วิตามินเอ (Vitamin A) ที่สูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก อาหารไม่ย่อย เพราะในมะละกอสุกจะมี เอนไซม์ พาพาอิน (Papain Enzyme) ที่ช่วยย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน และมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ
น้ำแอปเปิ้ล จะเหมาะกับเพื่อนๆ ที่เน้นการดูแลเล็บเป็นพิเศษเพราะน้ำแอปเปิ้ล จะช่วยให้เล็บของเพื่อนๆ แข็งแรง และประกอบไปด้วย วิตามินเอ (Vitamin A) และ วิตามินซี (Vitamin C)
น้ำมะเขือเทศ อันนี้ VISA ก็ขอบายค่ะ เพราะขอเปลี่ยนเป็นเนื้อมะเขือเทศสดจะดีกว่า เพราะจะไม่กินเลยก็เกรงใจค่ะ เพราะในมะเขือเทศ มีสารไลโคปีน ที่ช่วยเรื่องการชะลอความแก่ ไงคะ นอกจากนั้นยังมี วิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ และที่สำคัญอันนี้ไปกระซิบบอกหนุ่มๆ เอาไว้ก็ดีนะคะว่าในมะเขือเทศ ยังมีสารที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก ด้วยค่ะ อิอิ
น้ำแตงโม ช่วยล้างไตและขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ และมีส่วนผสมของ เบต้าแคโรทีน และ วิตามินเอ (Vitamin A) ด้วยค่ะ
น้ำฝรั่ง เป็นน้ำที่ VISA ชอบ และ ยังเป็นน้ำที่ให้วิตามินซี (Vitamin C) สูงสุดๆ ด้วยค่ะ น้ำฝรั่ง จะช่วยป้องกันไข้หวัด สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย บำรุงผิวพรรณ
น้ำกล้วยหอม ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ค่ะ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมอาหารได้ดีอีกด้วยค่ะ เพราะว่าน้ำกล้วยหอมจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว
ลองเลือกดื่มเลือกชิมกันได้ตามใจชอบนะคะ เพราะจะทำให้เราได้รับการ บำรุงผิว ตั้งแต่ภายในเลยค่ะ เรียกได้ว่างานนี้ สวยกันจากภายในเลยค่ะ

ฟันสวยฟันดี ต้องไม่มีหินปูน


ฟันสวยฟันดี ต้องไม่มีหินปูน

ฟันสวยฟันดี

ฟันสวยฟันดี ต้องไม่มีหินปูน (Lisa)

         ไม่น่าเชื่อว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไปจะมีปัญหาเกี่ยวกับหินปูน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ฟันผุกร่อนไปก่อนเวลาอันควร ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วหินปูนเป็นปัญหาที่ป้องกันได้ไม่ยาก อีกทั้งเทคนิควิธีการที่ทันสมัย ยังสามารถช่วยขจัดหินปูนออกจากฟันได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดการันตีได้ว่าภาพและเสียงของการขูดกรอหินปูนแบบเก่า ๆ ที่เคยขยาดกลัวจนฝังใจ จะถูกลบเลือนให้หมดไป

หินปูนเกิดขึ้นได้อย่างไร

         หินปูนเกิดขึ้นมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า สเตรปโตคอคคัสมูทานส์ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ตามซอกฟันน้ำตาลจากเศษอาหารที่ติดฟัน จะทำให้เชื้อนี้เจริญเติบโต พร้อมกับผลิตกรดบางอย่างขึ้นมา ซึ่งสามารถทำลายแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวเคลือบฟันได้ จากนั้นแบคทีเรียดังกล่าว ก็จะสร้างหินปูนขึ้นมาปกคลุมตัวเองอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ตัวมันสามารถเกาะติดกับผิวฟันได้อย่างมั่นคง โดยไม่หลุดลอกหรือถูกชะล้างไปไหน หากปล่อยไว้นานวันเข้า อาณาจักรหินปูนของเจ้าเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะยิ่งพอกพูนหนาขึ้น ขณะที่ผิวเคลือบฟันและเนื้อฟันค่อย ๆ ผุกร่อนลง

         ที่สำคัญเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหินปูนขั้นนี้ สามารถจะติดต่อถึงกันได้ เพียงแค่เรารับประทานอาหารร่วมช้อนเดียวกัน

มีวิธีการใดบ้างที่จะช่วยปกป้องฟันจากหินปูน

         นอกหนือจากการแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง หรือจะให้ดีควรแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อแล้ว  เราสามารถปกป้องฟันของเรา ให้ห่างไกลจากหินปูนได้อย่างแน่นอนขึ้นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

         หลังจากที่รับประทานอาหารเปรี้ยว ๆ หรืออาหารประเภทที่มีกรด อย่างเช่น ผลไม้บางชนิดไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแปรงฟันทันที แต่ควรจะแปรงหลังจากนั้นสัก 20 นาที ทั้งนี้เนื่องจากกรดจากผลไม้มีฤทธิ์กัดกร่อนผิวเคลือบฟันได้ ด้วยเหตุนี้แทนที่จะดี กลับกลายเป็นการไปขัดขวางแร่ธาตุในน้ำลาย ที่จะคอยช่วยสมานผิวเคลือบฟันให้กลับเป็นปกติ

         ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง  ทั้งนี้เนื่องจากการแปรงฟันธรรมดา ไม่สามารถจะซอกซอนเข้าไปขจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันแต่ละซี่ได้ และหากใช้ไหมขัดฟันที่เคลือบฟูลออไรด์ด้วยก็ยิ่งดี

         แต่ละครั้งที่แปรงฟันควรแปรงให้ทั่วถึงฟันทุกซี่ แต่ไม่ควรใช้แรงกดเวลาแปรง และไม่ควรแปรงนานเกินกว่า 3 นาที มิฉะนั้นอาจทำให้ผิวเคลือบฟันสึกกร่อนได้

         ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เป็นประจำทุกวัน เพราะฟลูออไรด์ช่วยต้านทานการผุกร่อนของเนื้อฟันได้

         หลังจากที่แปรงฟันแล้ว อย่าเพิ่งบ้วนน้ำล้างปากทันที แต่ควรจะปล่อยให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันซึมซาบเข้าสู่เนื้อฟันได้สักพัก แล้วจึงค่อยบ้วนน้ำล้างปากออก

         หลังอาหารแต่ละมื้อควรเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ทั้งนี้เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งน้ำลาย ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยล้างปาก และช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่คอยจ้องจะก่อคราบหินปูน อีกทั้งความเหนียวหนึบของยางหมากฝรั่ง ยังช่วยทำให้เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันบางส่วน หลุดติดออกมากับหมากฝรั่งได้อีกด้วย

         หลังจากแปรงฟันก่อนเข้านอนแล้ว ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย เพื่อลดจำนวนเชื้อโรคในช่องปากที่หลงเหลืออยู่ให้น้อยที่สุด

         ทุก ๆ สามเดือนควรเปลี่ยนแปรงสีฟันใหม่ ทั้งนี้เพราะนอกจากขนแปรงที่ใช้งานมานานจะบานเสียรูปทรงแล้ว สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามซอกขนแปรง ยังเป็นแหล่งหมักหมมสะสมของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี

         ควรพบทันตแพทย์ เพื่อให้ตรวจสุขภาพฟันและขูดหินปูนเป็นประจำทุกหกเดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง

หากการป้องกันหินปูนสายเกินไปแล้วจะมีวิธีการใดช่วยแก้ไขได้อีก

         เมื่อไหร่ก็ตามที่ตรวจพบว่า ฟันของคุณเริ่มมีหินปูนมาเกาะ คุณควรจะรีบกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นหินปูนดังกล่าวจะขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ฟันของคุณผุกร่อนได้ในที่สุด

         สำหรับวิธีการขจัดหินปูนออกไป ปัจจุบันนี้ในวงการแพทย์ มีเทคนิคขูดหรือกรอหินปูนได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น  ซึ่งช่วยให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะเหงือกถลอกปอกเปิดกับการขูดหินปูนอีกต่อไป

         นอกจากนี้ในบางประเทศยังได้มีการนำเลเซอร์มาใช้ในการขูดหินปูนด้วย นับเป็นวิวัฒนาการใหม่อย่างหนึ่งของวงการทันตแพทย์ ซึ่งการใช้เลเซอร์ดังกล่าวช่วยทำให้คนไข้แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ในขณะที่คราบหินปูนถูกเลเซอร์ขูดออกไปเป็นผุยผง

         เท่านั้นไม่พอ ยังมีวิธีการใหม่ล่าสุดที่คาดว่าจะได้รับความนิยมยิ่งกว่าเลเซอร์ นั่นคือ การใช้เจลพิเศษ ซึ่งเพียงป้ายเจลตรงบริเวณที่มีหินปูนเกาะอยู่ภายใน 30 วินาที เจลจะทำให้คราบหินปูนอ่อนตัวลงจากนั้นหมอก็จะขูดเบา ๆ ตรงบริเวณดังกล่าว คราบหินปูนก็จะหลุดออกไปอย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อเหงือกและฟัน

พัฒนาการของการขจัดคราบหินปูน

         คาดว่าในอนาคตอันใกล้ วัคซีนป้องกันการก่อตัวของหินปูนจะสามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งวัคซีนชนิดนี้ เป็นผลงานการค้นคว้าของนักวิจัยชาวอังกฤษ โดยประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวเท่าที่วิจัยพบในขณะนี้ สามารถช่วยปกป้องการก่อตัวของหินปูนที่เกาะบนฟันได้นานถึง 1 ปี

         ฟันสวยสุขภาพดีตลอดชีวิตเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หากเรารู้จักดูแลรักษาฟันให้รอดพ้นจากการเกาะตัวของคราบหินปูน

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีทำให้ผิวขาวหน้าใส ด้วยสมุนไพรไทย

วิธีทำให้ผิวขาวหน้าใส ด้วยสมุนไพรไทย
วิธีทำให้ผิวขาวหน้าใส ด้วยสมุนไพรไทย


ผิวขาว หน้าใส ย่อมเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ปรารถนา ยอมเสียเงินจ่ายไปกับเครื่องสำอางสารพัดเพียงเพื่อต้องการเป็นเจ้าของผิวขาวสวยใส แต่ผลที่ได้รับกลับมาอาจไม่เป็นดั่งที่หวังไว้ อาจเกิดผื่นแพ้ รอยแดงคล้ำ จากเครื่องสำอางราคาแพงเหล่านั้น แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วคุณไม้ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปกับผลิตภัณฑ์ที่ยกสรรพคุณว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติเหล่านั้นเลย เพราะวันนี้เรามีสูตรวิธีทำให้ผิวขาวสวยด้วยสมุนไพรมาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ มีด้วยกันหลายสูตร อ่านแล้วนำไปทำดูนะค่ะ

ว่านหางจระเข้ : ช่วยให้ใบหน้าสวยเปล่งปลั่ง
ว่านหางจระเข้จะช่วยให้ใบหน้าคุณสวยเปล่งปลั่งได้อย่างไรบ้าง
1. สามารถรักษาผิวไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือผิวที่ถูกแสงแดดเผาไหม้จนเกรียมได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว ว่านหางจระเข้นี้จัดเป็นยาเย็น ส่วนมากใช้แล้วจะรู้สึกเย็นสบายบริเวณผิวหนังที่แสบร้อนจากการเผาไหม้
วิธีใช้ นำว่านหางจระเข้สักก้านหนึ่งเลือกก้านที่แก่ ๆ สักหน่อย ล้างน้ำให้สะอาดฝานเอาเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้งอย่าให้มีเมือกสีเหลือง ๆ ติดอยู่ เพราะอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ให้ใช้แต่วุ้นสีขาวเอาไปทา หรือถ้าเป็นแผลจากน้ำร้อนลวกและไฟไหม้ ก็ฝานวุ้นว่านหางจระเข้ไปวางทับที่ปากแผล

2. สามารถช่วยลดอาการที่เกิดจากผื่นคันที่มีสาเหตุมาจากการแพ้สารเคมีต่าง ๆ ใครที่ผ่านการใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมีเยอะกัดผิวหน้าจนแดงเป็นปื้น หันมาใช้ว่านหางจระเข้ ช่วยรักษาดีกว่า จะได้ฟื้นฟูสภาพผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งเหมือนเดิม
วิธีใช้ เช่นเดียวกับการรักษาแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

3. ลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวและฝ้าบนใบหน้า หลายคนที่เจอกับปัญหานี้ ก็ลองหันมาใช้ว่านหางจระเข้รักษาดู ในกลุ่มวัยรุ่นมักจะเจอปัญหารอยแผลเป็นจากสิว ใบหน้าเป็นจุดด่างดำ แต่ขอแจ้งให้ทราบนิดหนึ่งว่าอย่านำว่านหางจระเข้ไปใช้รักษาสิว เพราะตัวมันเองไม่มีสรรพคุณเช่นนั้น แต่ในกรณีที่เป็นสิวที่มีหนอง หัวใหญ่ก็สามารถใช้แหะที่หัวสิวนั้นได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบได้ ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่ วัยทำงานขึ้นมาหน่อยก็มักจะเจอปัญหาใบหน้าเป็นฝ้า จุดด่างดำ เพราะอายุมากขึ้น

ว่านหางจระเข้เจลพอกหน้า
สรรพคุณ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด (ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะสำหรับคนผิวมัน สำหรับคนผิวแห้งไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า
                     อาจทดลองทาวุ้นบริเวณท้องแขนดูก่อน หากมีผื่นแดงหรือคันไม่ควรใช้ทาหน้า


มะขาม : ช่วยแก้ไขปัญหาผิวแห้งกระด้างเป็นขุย
มะขามเป็นความงามจากก้นครัวอีกชนิดหนึ่งที่ใช้กันต่อเนื่องมายาวนานบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลายในยุคเก่าคุ้นเคยกันมากกับการนำมะขามมาใช้อาบน้ำ-ล้างหน้า แทนการใช้สบู่หรือครีมล้างหน้า และครีมอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง แสบ หรือคัน

คนที่มีปัญหาผิวแห้ง กระด้าง ขาดความชุ่มชื้น ดูแล้วไร้ชีวิตชีวา ถ้าหันมาใช้มะขามเปียกประมาณ 1 กำมือ ใช้ถูเนื้อตัวร่างกาย ทำความสะอาดผิวหน้าทุกวัน ไม่นานจะเห็นผลทันทีเลยว่าผิวที่เคยมีปัญหามาตลอดนั้นจะนุ่ม ผิวไม่แห้งเนื้อตัวไม่ตึง ไม่คัน เห็นได้ว่าผิวพรรณมีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อเลย หรือท่านที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นหรือช่วงหน้าหนาวแล้ว ยิ่งน่าจะหันมาใช้มะขามเปียกแทนการใช้สบู่ แล้วคุณจะพบว่าหน้าหนาวนี้ผิวคุณจะสวยตลอดฤดูกาลนั้นทีเดียว พออาบน้ำเสร็จก็อาจจะใช้ขมิ้นลูบไล้ผิวกาย ผิวหน้าเพิ่มความสวยอีกดีกรียิ่งดีใหญ่

หรือถ้าอยากจะทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ก็ให้ใช้มะขามเปียกแช่น้ำให้เหนียว ๆ หน่อยเอามาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเปล่า คุณจะพบว่าผิวของคุณสะอาดขึ้นอย่างมากทีเดียว

สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า ก็ใช้มะขามเปียกนี้รักษาได้ วิธีใช้ก็คือ เอามะขามเปียกแช่น้ำพอเหนียว แล้วเอาทั้งกากและเนื้อถูบริเวณที่เป็นฝ้าเบา ๆให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก นอกจากนี้ยังมีสูตรการทำครีมมะขามใช้เอง สามารถใช้แทนสบู่ได้มาฝากอีกด้วย

สบู่ครีมมะขามเปียก
ส่วนผสม
1. มะขามเปียก
2. นมสด
3. น้ำผึ้ง
วิธีทำ
1. เอามะขามเปียกประมาณ 2-3 ฝัก แกะเอาใยออกให้หมด
2. เอามะขามเปียกไปคั้นรวมกับนมสด 6 ช้อนแกง คั้นให้ข้นจนได้ที เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
3. นำน้ำผึ้งผสมกับส่วนผสมที่ได้จากข้อสองแล้วคนให้เข้ากัน (สัดส่วนของสูตรในการทำสบู่ครีมมะขามสามารถปรับได้ตามความต้องการของสภาพผิวหน้า) เสร็จแล้วให้นำไปนึ่งให้สุก เพื่อช่วยยืดอายุสามารถเก็บไว้ได้นาน
วิธีใช้ ใช้เวลาล้างหน้าหรืออาบน้ำ ใช้ครีมทาบาง ๆ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก
สรรพคุณ ใช้ล้างหน้าแทนสบู่ ชำระสิ่งสกปรก รักษาฝ้า ทำให้ผิวพรรณนุ่มนวล

มะขามเปียกครีมพอกหน้า
สรรพคุณ : บำรุงผิว ลบรอยเหี่ยวย่น ตีนกา
ส่วนผสม มะขามเปียก 1 กำมือ 
                นมสดรสจืด 3 ช้อนโต๊ะ 
                น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ มะขามเปียกแกะเม็ดเอารกออกแล้วล้างน้ำให้สะอาดผสมกับนมแล้วขยำให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอนตาละเอียด เติมน้ำผึ้งคนให้เข้ากันก็จะได้ครีมมะขามเปียก ใส่ภาชนะมีฝาปิดเก็บไว้ในตู้เย็น
วิธีใช้ ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ทาครีมมะขามเปียกทิ้งไว้ 10 นาที ล้างด้วยน้ำสะอาด สูตรข้างต้นนี้เหมาะกับคนผิวมัน ถ้าคนผิวแห้งให้ลดมะขามเปียก เพิ่มปริมาณนมสดกับน้ำผึ้งให้มากขึ้น

ทนาคา100%



ถ้าเป็นสมุนไพรไทยที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน" แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ" ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลากหลาย เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก"ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผงแล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ
สามารถผสมกับ: 
*น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)
*น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ด่างดำ)
*ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)
*นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มเนียน)
*โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)
เมื่อบดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัสไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่ เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"
วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้) มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง

*** นี่คือภูมิปัญญาจากสมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถแต่งเติม ความงามได้ไม่แพ้ครีมของนอก หรืออีกนัย ถ้าคุณได้ลองอาจจะดีกว่าของนอก ถูกกับผิวชาวเอเชียอย่างเรามากกว่าด้วยซ้ำค่ะ*
ข้อมูล ความมหัศจรรย์ของทนาคา จากไทยรัฐ ฉบับวันที่ 21มค.48 หน้า7

ว่านนางคำ100%



ว่านนางคำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Curcuma amada (aromatica) หัวว่านมีสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม เป็นสมุนไพรตัวหนึ่งของต้นตำรับความงามโบราณ มีเรื่องเล่ากันว่า "พระนางคลีโอพัตรา" ใช้ว่านนางคำเป็นตัวช่วยประทินผิวให้งดงามอยู่ตลอดเวลา ในหัวว่านนางคำมีสาร curcumin และวิตามินหลายชนิด ช่วยบำรุงผิว ป้องกันเม็ดผดผื่น ช่วยทำสะอาดผิวกาย ลดรอยตกกระและจุดด่างดำ เนียนนุ่ม รักษาผดผื่นคัน และรักษาอาการคันจากการแพ้ตามร่างกายรักษาผิวพรรณให้ดูผุดผ่องสวยงามดี รักษาโรคผิวหนัง
วิธีใช้ สำหรับผิวหน้าและผิวกาย ใช้ขัดและพอกผิวโดยผสมกับน้ำ หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ควรผสมกับนม หรือโยเกิร์ต กับน้ำผึ้ง จะช่วยทำให้ผิวนุ่มเนียน สวยยิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

น้ำสมุนไพร..เสริมคอลลาเจนใต้ผิวหนัง


 น้ำสมุนไพร..เสริมคอลลาเจนใต้ผิวหนัง



สูตรเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง โดยอาศัยสารอาหารที่มีอยู่ในกีวีและองุ่นเขียว
      กีวี อุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย ไม่ถูกหวัดกินง่าย ๆ ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง

      องุ่นเขียว เพิ่มความเร็วให้แก่กระบวนการเผาผลาญอาหาร รวมทั้งการล้างพิษ เหมาะกับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม ช่วยขับปัสสาวะ ในองุ่นเป็นแหล่งรวมของฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี1 บี2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และทาร์ทาริก

      ส่วนผสม      กีวี 1 ถ้วย
      องุ่นเขียว 1 ถ้วย
      น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

       วิธีทำ      เริ่มด้วยการนำกีวีและองุ่นเขียวไปทำความสะอาด จากนั้นนำองุ่นเขียวไปผ่าครึ่งโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนกีวีให้ปลอกเปลือกก่อนแล้วหั่นเป็นแว่น นำองุ่นเขียวและกีวีไปปั่นรวมกันด้วยเครื่องปั่น หลังจากปั่นไปได้สักครู่จนเนื้อผลไม้พอละเอียดเข้ากันให้เติมน้ำแข็งป่นเล็กน้อยแล้วปั่นส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งเป็นอันเสร็จ




15 คอลลาเจนจากธรรมชาติ

15 คอลลาเจนจากธรรมชาติ
คอลลาเจน ชื่อนี้หมายถึงหน้าใสไร้รอยตีนกา แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินจ่ายแพงซื้ออาหารเสริมที่โฆษณาว่ามีคอลลาเจนมากินกัน เพราะของพวกนี้ธรรมชาติจัดมาให้อยู่แล้ว


      ประเภทราคาถูก
ได้แก่ ผักคะน้า ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง พริกหวานสีแดง แตงกวา มะเขือเทศ แครอท
      ประเภทราคาสูง แนะนำ บีทรูท มะม่วงหิมพานต์ บลูเบอร์รี่ อัลมอนด์ อะโวคาโด มะกอกดำ เซเลอรี่ แคนตาลูป

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำรงชีวิตเป็นอันมาก  เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐานสามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก  มีราคาถูกลง  สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งให้บริการด้านข้อมูล  ข่าวสารด้วยกลไกอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก  รวดเร็วตลอดเวลา  จะเห็นว่าชีวิตปัจจุบันเกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีเป็นอันมาก  ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการทำงาน


รูปที่ 1.1 การติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียม

    เราลองจินตนาการดูว่า  เราเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านใดบ้างจากตัวอย่างต่อไปนี้   เมื่อตื่นนอนเราอาจได้ยินเสียงจากวิทยุ  ซึ่งกระจายเสียงข่าวสารหรือสาระบันเทิง  เราใช้โทรศัพท์สื่อสารกับเพื่อน  ดูรายการทีวีหรือวีดิทัศน์  ระหว่างมาโรงเรียนเดินทางผ่านถนนที่มีระบบไฟสัญญาณที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์  ที่ศูนย์การค้าเราขึ้นลิฟต์ ขึ้นบันไดเลื่อนที่มีการควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์  ที่บ้านอาจมีเครื่องปรับอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิโดยอัตโนมัติ  ทำอาหารด้วยเตาอบ  ซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์  ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า  จะเห็นว่าชีวิตในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอันมาก  อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นส่วนประกอบในการทำงาน


รูปที่ 1.2 เครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน

    ในอดีตยุคที่มนุษย์ไม่มีถิ่นฐานแน่นอน   มีชีวิตที่เร่ร่อน   มีอาชีพเกษตรกรรม  ล่าสัตว์  ต่อมามีการรวมตัวกันเป็นสังคมเมือง    และทำให้เกิดการผลิตเชิงอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการปริมาณมาก สังคมจึงเป็นสังคมเมืองที่มีอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง  แต่หลังจากปี พ.ศ. 2530  เป็นต้นมา  ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ก้าวหน้ามาก  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสังคมสารสนเทศ  ชีวิตความเป็นอยู่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก  การสื่อสารโทรคมนาคมกระจายทั่วถึง  ทำให้ข่าวสารแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว  สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมไร้พรมแดน  เพราะเรื่องราวของประเทศหนึ่งสามารถกระจายแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ  ได้อย่างรวดเร็ว

นิยามเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ    คำว่า   “เทคโนโลยี”     หมายถึง    การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์  การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ  กฎเกณฑ์ของสิ่งต่าง ๆ    และการนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์    เทคโนโลยีจึงเป็นคำที่มีความหมาย กว้างไกล  เป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอดเวลา


รูปที่  1.3 วงจรรวม

    ส่วนคำว่า “สารสนเทศ”  หมายถึง  ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์  มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  เป็นจำนวนมาก     เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่    กฎเกณฑ์และวิชาการ


รูปที่  1.4 สื่อที่ช่วยในการรับส่งข้อมูลข่าวสาร

    ภายในสมองมนุษย์ซึ่งเป็นที่เก็บข้อมูลไว้มากมายจะมีข้อจำกัดในการจัดเก็บ  การเรียกใช้  การประมวลผล  และการคิดคำนวณ  ดังนั้นจึงมีผู้พยายามสร้างเครื่องจักรเครื่องมือ  เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการสารสนเทศ  เช่น  เครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำได้มาก สามารถให้ข้อมูลได้แม่นยำและถูกต้องเมื่อมีการเรียกค้นหา  ทำงานได้ตลอดวันไม่เหน็ดเหนื่อย  และยังส่งข้อมูลไปได้ไกลและรวดเร็วมาก  เครื่องจักร  อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสารสนเทศนั้นมีมากมายตั้งแต่เครื่องคอมพิวเตอร์  อุปกรณ์รอบข้าง  ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่   ทำให้เกิดงานบริการที่อำนวยความสะดวกต่างๆในชีวิตประจำวัน
    เมื่อรวมคำว่า “เทคโนโลยี” กับ “สารสนเทศ”  เข้าด้วยกัน  จึงหมายถึง  เทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ  เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวมการจัดเก็บข้อมูล  การประมวลผล  การพิมพ์  การสร้างรายงาน  การสื่อสารข้อมูล  ฯลฯ  เทคโนโลยีสารสนเทศจะรวมไปถึง  เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบการให้บริการ  การใช้  และการดูแลข้อมูล


รูปที่  1.5 การฝากถอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม

    เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความหมายที่กว้างขวาง   รอบ ๆ ตัวที่เกี่ยวกับการใช้สารสนเทศอยู่มาก  ดังนี้
        1. การเก็บรวบรวมข้อมูล  เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลเข้าสู่ระบบ  นักเรียนอาจเห็นพนักงานการไฟฟ้าไปที่บ้านพร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเพื่อบันทึกข้อมูลการใช้ไฟฟ้าในการสอบที่มีผู้เข้าสอบจำนวนมากก็มีการใช้เดินสอดำระบายตามช่องที่เลือกตอบ  เพื่อให้เครื่องอ่านเก็บรวบรวมข้อมูลได้  เมื่อไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าก็มีการใช้รหัสแท่ง (bar code)  พนักงานจะนำสินค้าผ่านการตรวจของเครื่องอ่านรหัสแท่งเพื่ออ่านข้อมุลการซื้อสินค้า  เมื่อไปที่ห้องสมุดก็พบว่าหนังสือมีรหัสแท่งเช่นเดียวกัน  การใช้รหัสแท่งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการข้อมูล  จะเห็นได้ว่าการเก็บ
รวบรวมข้อมูลจากคอมพิวเตอร์สามารถเก็บได้หลายแบบ


รูปที่ 1.6 ตัวอย่างการเก็บรวบรวมข้อมูล  โดยพนักงานใช้เครื่องกราดตรวจอ่านรหัสแท่ง

        2. การประมวลผล  ข้อมูลที่เก็บมาได้มักจะเก็บในสื่อต่าง ๆ  เช่น  แผ่นบันทึก 
แผ่นซีดี  และเทป  ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาประมวลผลตามความต้องการ  เช่น  แยกแยะข้อมูล
เป็นกลุ่ม  เรียงลำดับข้อมูล  คำนวณ  หรือจัดการคัดแยกข้อมูลที่จัดเก็บนั้น


รูปที่ 1.7 ตัวอย่างการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยพนักงานใช้เครื่องกราดตรวจอ่านรหัสแท่ง

        3. การแสดงผลลัพธ์  คือการนำผลจากการประมวลผลที่ได้  มาแสดงผลลัพธ์ให้อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ   อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์มีมาก  สามารถแสดงเป็นตัวหนังสือ  รูปภาพ   ตลอดจนพิมพ์ออกมาที่กระดาษ     การแสดงผลลัพธ์มีทั้งที่แสดงเป็นภาพ     เสียง  และวีดิทัศน์  เป็นต้น
 

รูปที่ 1.8 การแสดงผลลัพธ์ทางเครื่องพิมพ์

        4. การทำสำเนา  เมื่อมีข้อมูลที่จัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ  การทำสำเนาจะทำ
ได้ง่าย  และทำได้เป็นจำนวนมาก  อุปกรณ์ที่ช่วยในการทำสำเนาจัดได้ว่าเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศอีกประเภทหนึ่งที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง  เรามีเครื่องพิมพ์  เครื่องถ่ายเอกสาร  อุปกรณ์การเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์  เช่น  แผ่นบันทึก  ซีดีรอม  ซึ่งสามารถทำสำเนาได้เป็นจำนวนมาก


รูปที่  1.9 ตัวอย่างการทำสำเนา

        5. การสื่อสารโทรคมนาคม  เป็นวิธีการที่จะส่งข้อมูลหรือข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง  หรือกระจายออกไปยังปลายทางครั้งละมากๆ  ปัจจุบันมีระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท    ตั้งแต่โทรเลข  โทรศัพท์  โทรสาร  วิทยุ  โทรทัศน์  และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบของสื่อหลายอย่าง  เช่น  สายโทรศัพท์  เส้นใยนำแสง  เคเบิลใต้น้ำ  คลื่นวิทยุ  ไมโครเวฟ   และดาวเทียม


รูปที่  1.10 การสื่อสารโทรคมนาคม


ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ    โดยพื้นฐานของเทคโนโลยี ย่อมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้  แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นอยู่ของสังคมสมัยใหม่อยู่มาก   ลักษณะเด่นที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ  มีดังนี้
        1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้การทำงานรวดเร็ว  ถูกต้อง  และแม่นยำ   ในระบบการจัดการขององค์กรทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดำเนินการและตัดสินใจ    ระบบธุรกิจจึงใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นเครื่องมือช่วยในการดำเนินการเพื่อให้การทำงานมีความรวดเร็ว  ถูกต้อง  และแม่นยำ  เช่น  ใช้ในระบบฝากถอนเงิน และระบบจองตั๋วเครื่องบิน
        2. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยทำให้การบริการกว้างขวางขึ้น  เมื่อมีการพัฒนาระบบเก็บและใช้ข้อมูล  ทำให้การบริการต่างๆอยู่ในรูปแบบการบริการแบบกระจาย  ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน  สามารถถามข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์  นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยสามารถใช้คอมพิวเตอร์สอบถามผลสอบจากที่บ้านได้
        3. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ  ปัจจุบันทุกหน่วยงานต่างพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลและรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในองค์กร  ประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่จัดทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์  ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล  ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษีซึ่งในปัจจุบันองค์กรทุกระดับเห็นความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้


รูปที่  1.11 เว็บไซต์ระบบทะเบียนราษฎร์

        4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยงานในชีวิตประจำวัน


รูปที่ 1.12 สารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ    ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อชีวิตความเป็นอยู่และสังคมมีมาก  มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอย่างกว้างขวาง  ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศกล่าวไว้ดังนี้
        1. การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  สภาพความเป็นอยู่ของสังคมเมือง มีการพัฒนาใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคม  เพื่อติดต่อสื่อสารให้สะดวกขึ้น  มีการประยุกต์มาใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน  เช่น  ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ  ใช้ควบคุมระบบไฟฟ้าภายในบ้าน  เป็นต้น


รูปที่ 1.13 ตัวอย่างการใช้รีโมทเพื่อความสะดวกในการควบคุมโทรทัศน์

        2. เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส  เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง  แม้แต่ถิ่นทุรกันดาร  ทำให้มีการกระจายโอกาสการเรียนรู้  มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล  การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล  นอกจากนี้ในปัจจุบันมีความพยายามที่ใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร
        3. สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน  การเรียนการสอนในโรงเรียน มีการนำคอมพิวเตอร์และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดิทัศน์ เครื่องฉายภาพ  คอมพิวเตอร์ช่วยสอน  คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา  จัดตารางสอน  คำนวณระดับคะแนน  จัดชั้นเรียน  ทำรายงาน  เพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาและการแก้ปัญหาในโรงเรียน  ปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น


รูปที่ 1.14 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

        4. เทคโนโลยีสารสนเทศกับสิ่งแวดล้อม  การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่าง  จำเป็นต้องใช้สารสนเทศ  เช่น  การดูแลรักษาป่า  จำเป็นต้องใช้ข้อมูล  มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม  การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ  การพยากรณ์อากาศ  การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข  การเก็บรวบรวมข้อมูลคุณภาพน้ำในแม่น้ำต่างๆ  การตรวจวัดมลภาวะ  ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วย  ที่เรียกว่า โทรมาตร  เป็นต้น


รูปที่ 1.15 ภาพถ่ายจากการสื่อสารผ่านดาวเทียมแสดงสภาวะพื้นดินและวัดมลภาวะ

        5. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ  กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยี  อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และระบบควบคุม  มีการใช้ระบบป้องกันภัย  ระบบเฝ้าระวังที่มีคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน

 
รูปที่  1.16 เรือจักรีนฤเบศร์

        6. การผลิตในอุตสาหกรรม และการพาณิชยกรรม  การแข่งขันทางด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้มาก  ราคาถูกลง  เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทมาก  มีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพื่อการบริหารและการจัดการ  การดำเนินการและยังรวมไปถึงการให้บริการกับลูกค้า  เพื่อให้ซื้อสินค้าสะดวกขึ้น


รูปที่  1.17 ตัวอย่างกระบวนการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม

        7. ความคิดและการสร้างสรรค์  เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน  และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น 

น.ส.ศันสนีย์ สังโสมา   สาขา อังกฤษธุรกิจ   รหัส 5430123315228

ช็อกโกแลตทำให้สิวขึ้น?

ช็อกโกแลตทำให้สิวขึ้น?
  
สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด และอาจนับว่าเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดก็ว่าได้  เพราะมีการประมาณว่าคนเรา ๑๐๐ คนเคยเป็นสิวถึง ๙๙ คน  มีคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเรื่องสิว เช่น

กินช็อกโกแลตแล้วทำให้สิวขึ้นไหม?
แพทย์มักบอกผู้ป่วยว่าช็อกโกแลตไม่ได้มีส่วนกระตุ้นให้โรคสิวกำเริบ เพราะมีงานวิจัย ๒ ฉบับที่เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายตั้งแต่เมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว ได้ศึกษาผลของช็อกโกแลต นม ถั่ว และน้ำอัดลม โดยศึกษาผู้ป่วยโรคสิว ๖๕ ราย โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม
     กลุ่มที่ ๑ ให้กินช็อกโกแลตแท่ง
     กลุ่มที่ ๒ ให้กินอาหารแท่งที่ไม่มีช็อกโกแลต
     พบว่าไม่มีความแตกต่างของสิวในผู้ป่วยทั้ง ๒ กลุ่ม
     โดยทั่วไปจึงเชื่อว่าอาหารพวกไอศกรีมและนมไม่ทำให้สิวกำเริบ ยกเว้นกรณีผู้ที่เป็นสิวอักเสบและกำลังได้รับการรักษาโดยกินยาปฏิชีวนะ เช่น เตตราซัยคลีน ไม่ควรดื่มนมภายในเวลา ๑ ชั่วโมงครึ่งก่อน หรือ ๒ ชั่วโมงหลังกินยา เพราะนมจะขัดขวางการดูดซึมของยา ทำให้กินยาแล้วสิวก็ยังไม่หายสักที แต่ก็มีผู้ป่วยหลายรายที่เชื่อว่าช็อกโกแลตกระตุ้นให้สิวเห่อ  ซึ่งอาจเนื่องมาจากช็อกโกแลตในปัจจุบันมีปริมาณของน้ำตาลและนมสูงกว่าช็อกโกแลตที่ใช้ในการทดลองครั้งนั้น
     ในปีพ.ศ.๒๕๔๕ นายแพทย์คอร์เดียน (Cordain) และคณะรายงานว่า คนบางกลุ่ม (เช่น ชนเผ่าบางเผ่าในปารากวัย ปาปัวนิวกินี ฯลฯ) ไม่เป็นสิว ทั้งๆ ที่สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก จึงตั้งทฤษฎี “การได้รับน้ำตาลน้อย” ว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาล และแป้งน้อยก็จะไม่นำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะอินซูลินในเลือดสูง ซึ่งนำไปสู่การผลิตสารไอจีเอฟ-1 (IGF-1, insulin-like growth factor-1) เพิ่มขึ้น
     สารไอจีเฟอ-1 นี่เองที่ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้น และหนาตัวขึ้นด้วย ทำให้รูขุมขนแคบลงเกิดการอุดตันได้ง่าย จึงเป็นสิวง่ายขึ้น “ภาวะน้ำตาลน้อย” นี้ยังมีส่วนยับยั้งการผลิตแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ให้พอดี ไม่มากเกินไป เพราะถ้าฮอร์โมนเพศชายมากเกินจะมีการสร้างไขมันที่ผิวหนังมาก จึงเป็นสิวได้ง่ายขึ้น 
     มีการศึกษาทดลองในอาสาสมัครผู้ชายอายุ ๑๕-๒๕ ปีโดยให้กินอาหารที่มีน้ำตาลต่ำนาน ๑๒ สัปดาห์ พบว่านอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยลดสิวด้วย จึงเป็นไปได้ว่า การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงมีส่วนเพิ่มสิว ในทางตรงกันข้ามการกินอาหารที่มีน้ำตาลน้อยมีส่วนช่วยลดสิวได้
     นอกจากนั้น การดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนมมากเกินไป ก็พบว่าอาจเพิ่มสิวได้เช่นกัน กลไกเรื่องนี้อาจเป็นผลจากการได้รับไอโอดีนเพิ่มขึ้น และการดื่มนมยังอาจเพิ่มสารไอจีเอฟ-1 ที่ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้นทำให้รูขุมขนแคบลง เกิดการอุดตันได้ง่ายจึงเป็นสิวง่าย
     ส่วนช็อกโกแล็ตที่ทำให้สิวเห่อได้ในบางคนอาจเป็นผลจากส่วนผสมของนม หรือน้ำตาลในช็อกโกแลตค่อนข้างสูงกว่าช็อกโกแลตที่นำมาทำการวิจัยในอดีต
     การศึกษาใหม่ๆ ในยุคนี้จึงมีแนวโน้มบ่งชี้ไปว่า การได้รับน้ำตาล นม หรือผลิตภัณฑ์นมที่มากเกินควรอาจมีส่วนเพิ่มสิวได้