บำรุงผิว ด้วย น้ำผลไม้
สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นเนื้อหาที่ VISA ค่อนข้างชอบค่ะ
เพราะนอกจากจะเป็นเนื้อหาของการดูแลผิวพรรณ แล้ว
ยังมีเรื่องของความอร่อยด้วยค่ะ เพราะวันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์ต่างๆ
ของน้ำผลไม้กันค่ะ ที่ว่า บำรุงผิว ด้วย
น้ำผลไม้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอามาอาบกันนะคะ
ถ้าทำแบบนั้นเปลืองตายเลยค่ะ
เรากำลังพูดถึงการดื่มน้ำผลไม้นั่นแล่ะค่ะ
ก่อนอื่นเลยต้องถามเพื่อนๆ ว่า วันนี้ ได้ดื่มน้ำผลไม้
หรือทานผลไม้กันบ้างหรือยังคะ ถ้ายัง VISA ว่าน่าจะลองหามาทานซักหน่อยก็จะดีนะคะ
เพราะว่าการทานผลไม้ หรือ ดื่มน้ำผลไม้ เป็นการ บำรุงผิว จากภายใน
เพราะเมื่อสุขภาพดีแล้ว มันจะส่งผลออกมายังผิวพรรณของเราไงล่ะคะ
แล้วน้ำผลไม้ต่างๆ นั้น มีคุณประโยชน์อย่างไรกันบ้าง
เรามาดูกันเลยค่ะ
น้ำส้มค้น เราเริ่มกันที่น้ำนางเอก ของเราก่อนเลยละกันนะคะ
น้ำส้มเป็นน้ำที่อุดมไปด้วย วิตามินซี (Vitamin
C) สูง และยังมี วิตามินเอ (Vitamin A)
และ วิตามินบี1, บี2 (Vitamin B1,
B2) ช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล ป้องกันโรคไข้หวัด
น้ำมะนาว อุดมไปด้วย วิตามินซี
(Vitamin C) และมีวิตามินบี2
(Vitamin B2) รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ ช่วยป้องกันไข้หวัด
และช่วยรักษาผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
น้ำมะละกอ อันนี้หมายถึงมะละกอสุกนะคะ ไม่ใช่น้ำมะละกอ
ในรูปแบบ น้ำส้มตำ (ปู ปลาร้า) จะมีปริมาณ วิตามินเอ
(Vitamin A) ที่สูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก
อาหารไม่ย่อย เพราะในมะละกอสุกจะมี เอนไซม์ พาพาอิน
(Papain Enzyme) ที่ช่วยย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน
และมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ
น้ำแอปเปิ้ล จะเหมาะกับเพื่อนๆ
ที่เน้นการดูแลเล็บเป็นพิเศษเพราะน้ำแอปเปิ้ล จะช่วยให้เล็บของเพื่อนๆ แข็งแรง
และประกอบไปด้วย วิตามินเอ (Vitamin A) และ
วิตามินซี (Vitamin C)
น้ำมะเขือเทศ อันนี้ VISA ก็ขอบายค่ะ
เพราะขอเปลี่ยนเป็นเนื้อมะเขือเทศสดจะดีกว่า เพราะจะไม่กินเลยก็เกรงใจค่ะ
เพราะในมะเขือเทศ มีสารไลโคปีน ที่ช่วยเรื่องการชะลอความแก่ ไงคะ นอกจากนั้นยังมี
วิตามินเอ (Vitamin A)
และวิตามินซี (Vitamin C)
ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ และที่สำคัญอันนี้ไปกระซิบบอกหนุ่มๆ
เอาไว้ก็ดีนะคะว่าในมะเขือเทศ ยังมีสารที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก
ด้วยค่ะ อิอิ
น้ำแตงโม ช่วยล้างไตและขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
ช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ และมีส่วนผสมของ เบต้าแคโรทีน และ
วิตามินเอ (Vitamin A) ด้วยค่ะ
น้ำฝรั่ง เป็นน้ำที่ VISA ชอบ และ
ยังเป็นน้ำที่ให้วิตามินซี (Vitamin C) สูงสุดๆ
ด้วยค่ะ น้ำฝรั่ง จะช่วยป้องกันไข้หวัด
สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย บำรุงผิวพรรณ
น้ำกล้วยหอม ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี
และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ค่ะ นอกจากนี้
ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมอาหารได้ดีอีกด้วยค่ะ
เพราะว่าน้ำกล้วยหอมจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว
ลองเลือกดื่มเลือกชิมกันได้ตามใจชอบนะคะ เพราะจะทำให้เราได้รับการ บำรุงผิว
ตั้งแต่ภายในเลยค่ะ เรียกได้ว่างานนี้ สวยกันจากภายในเลยค่ะ
ฟันสวยฟันดี ต้องไม่มีหินปูน
ฟันสวยฟันดี ต้องไม่มีหินปูน
(Lisa)
ไม่น่าเชื่อว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไปจะมีปัญหาเกี่ยวกับหินปูน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ฟันผุกร่อนไปก่อนเวลาอันควร ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วหินปูนเป็นปัญหาที่ป้องกันได้ไม่ยาก อีกทั้งเทคนิควิธีการที่ทันสมัย ยังสามารถช่วยขจัดหินปูนออกจากฟันได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดการันตีได้ว่าภาพและเสียงของการขูดกรอหินปูนแบบเก่า ๆ ที่เคยขยาดกลัวจนฝังใจ จะถูกลบเลือนให้หมดไป
หินปูนเกิดขึ้นได้อย่างไร
หินปูนเกิดขึ้นมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า สเตรปโตคอคคัสมูทานส์ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ตามซอกฟันน้ำตาลจากเศษอาหารที่ติดฟัน จะทำให้เชื้อนี้เจริญเติบโต พร้อมกับผลิตกรดบางอย่างขึ้นมา ซึ่งสามารถทำลายแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวเคลือบฟันได้ จากนั้นแบคทีเรียดังกล่าว ก็จะสร้างหินปูนขึ้นมาปกคลุมตัวเองอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ตัวมันสามารถเกาะติดกับผิวฟันได้อย่างมั่นคง โดยไม่หลุดลอกหรือถูกชะล้างไปไหน หากปล่อยไว้นานวันเข้า อาณาจักรหินปูนของเจ้าเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะยิ่งพอกพูนหนาขึ้น ขณะที่ผิวเคลือบฟันและเนื้อฟันค่อย ๆ ผุกร่อนลง
ที่สำคัญเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหินปูนขั้นนี้ สามารถจะติดต่อถึงกันได้ เพียงแค่เรารับประทานอาหารร่วมช้อนเดียวกัน
มีวิธีการใดบ้างที่จะช่วยปกป้องฟันจากหินปูน
นอกหนือจากการแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง หรือจะให้ดีควรแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อแล้ว เราสามารถปกป้องฟันของเรา ให้ห่างไกลจากหินปูนได้อย่างแน่นอนขึ้นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
หลังจากที่รับประทานอาหารเปรี้ยว ๆ หรืออาหารประเภทที่มีกรด อย่างเช่น ผลไม้บางชนิดไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแปรงฟันทันที แต่ควรจะแปรงหลังจากนั้นสัก 20 นาที ทั้งนี้เนื่องจากกรดจากผลไม้มีฤทธิ์กัดกร่อนผิวเคลือบฟันได้ ด้วยเหตุนี้แทนที่จะดี กลับกลายเป็นการไปขัดขวางแร่ธาตุในน้ำลาย ที่จะคอยช่วยสมานผิวเคลือบฟันให้กลับเป็นปกติ
ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากการแปรงฟันธรรมดา ไม่สามารถจะซอกซอนเข้าไปขจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันแต่ละซี่ได้ และหากใช้ไหมขัดฟันที่เคลือบฟูลออไรด์ด้วยก็ยิ่งดี
แต่ละครั้งที่แปรงฟันควรแปรงให้ทั่วถึงฟันทุกซี่ แต่ไม่ควรใช้แรงกดเวลาแปรง และไม่ควรแปรงนานเกินกว่า 3 นาที มิฉะนั้นอาจทำให้ผิวเคลือบฟันสึกกร่อนได้
ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เป็นประจำทุกวัน เพราะฟลูออไรด์ช่วยต้านทานการผุกร่อนของเนื้อฟันได้
หลังจากที่แปรงฟันแล้ว อย่าเพิ่งบ้วนน้ำล้างปากทันที แต่ควรจะปล่อยให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันซึมซาบเข้าสู่เนื้อฟันได้สักพัก แล้วจึงค่อยบ้วนน้ำล้างปากออก
หลังอาหารแต่ละมื้อควรเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ทั้งนี้เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งน้ำลาย ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยล้างปาก และช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่คอยจ้องจะก่อคราบหินปูน อีกทั้งความเหนียวหนึบของยางหมากฝรั่ง ยังช่วยทำให้เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันบางส่วน หลุดติดออกมากับหมากฝรั่งได้อีกด้วย
หลังจากแปรงฟันก่อนเข้านอนแล้ว ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย เพื่อลดจำนวนเชื้อโรคในช่องปากที่หลงเหลืออยู่ให้น้อยที่สุด
ทุก ๆ สามเดือนควรเปลี่ยนแปรงสีฟันใหม่ ทั้งนี้เพราะนอกจากขนแปรงที่ใช้งานมานานจะบานเสียรูปทรงแล้ว สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามซอกขนแปรง ยังเป็นแหล่งหมักหมมสะสมของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี
ควรพบทันตแพทย์ เพื่อให้ตรวจสุขภาพฟันและขูดหินปูนเป็นประจำทุกหกเดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง
หากการป้องกันหินปูนสายเกินไปแล้วจะมีวิธีการใดช่วยแก้ไขได้อีก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ตรวจพบว่า ฟันของคุณเริ่มมีหินปูนมาเกาะ คุณควรจะรีบกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นหินปูนดังกล่าวจะขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ฟันของคุณผุกร่อนได้ในที่สุด
สำหรับวิธีการขจัดหินปูนออกไป ปัจจุบันนี้ในวงการแพทย์ มีเทคนิคขูดหรือกรอหินปูนได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น ซึ่งช่วยให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะเหงือกถลอกปอกเปิดกับการขูดหินปูนอีกต่อไป
นอกจากนี้ในบางประเทศยังได้มีการนำเลเซอร์มาใช้ในการขูดหินปูนด้วย นับเป็นวิวัฒนาการใหม่อย่างหนึ่งของวงการทันตแพทย์ ซึ่งการใช้เลเซอร์ดังกล่าวช่วยทำให้คนไข้แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ในขณะที่คราบหินปูนถูกเลเซอร์ขูดออกไปเป็นผุยผง
เท่านั้นไม่พอ ยังมีวิธีการใหม่ล่าสุดที่คาดว่าจะได้รับความนิยมยิ่งกว่าเลเซอร์ นั่นคือ การใช้เจลพิเศษ ซึ่งเพียงป้ายเจลตรงบริเวณที่มีหินปูนเกาะอยู่ภายใน 30 วินาที เจลจะทำให้คราบหินปูนอ่อนตัวลงจากนั้นหมอก็จะขูดเบา ๆ ตรงบริเวณดังกล่าว คราบหินปูนก็จะหลุดออกไปอย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อเหงือกและฟัน
พัฒนาการของการขจัดคราบหินปูน
คาดว่าในอนาคตอันใกล้ วัคซีนป้องกันการก่อตัวของหินปูนจะสามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งวัคซีนชนิดนี้ เป็นผลงานการค้นคว้าของนักวิจัยชาวอังกฤษ โดยประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวเท่าที่วิจัยพบในขณะนี้ สามารถช่วยปกป้องการก่อตัวของหินปูนที่เกาะบนฟันได้นานถึง 1 ปี
ฟันสวยสุขภาพดีตลอดชีวิตเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หากเรารู้จักดูแลรักษาฟันให้รอดพ้นจากการเกาะตัวของคราบหินปูน
ไม่น่าเชื่อว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนทั่วไปจะมีปัญหาเกี่ยวกับหินปูน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ฟันผุกร่อนไปก่อนเวลาอันควร ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วหินปูนเป็นปัญหาที่ป้องกันได้ไม่ยาก อีกทั้งเทคนิควิธีการที่ทันสมัย ยังสามารถช่วยขจัดหินปูนออกจากฟันได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดการันตีได้ว่าภาพและเสียงของการขูดกรอหินปูนแบบเก่า ๆ ที่เคยขยาดกลัวจนฝังใจ จะถูกลบเลือนให้หมดไป
หินปูนเกิดขึ้นได้อย่างไร
หินปูนเกิดขึ้นมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า สเตรปโตคอคคัสมูทานส์ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ตามซอกฟันน้ำตาลจากเศษอาหารที่ติดฟัน จะทำให้เชื้อนี้เจริญเติบโต พร้อมกับผลิตกรดบางอย่างขึ้นมา ซึ่งสามารถทำลายแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวเคลือบฟันได้ จากนั้นแบคทีเรียดังกล่าว ก็จะสร้างหินปูนขึ้นมาปกคลุมตัวเองอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ตัวมันสามารถเกาะติดกับผิวฟันได้อย่างมั่นคง โดยไม่หลุดลอกหรือถูกชะล้างไปไหน หากปล่อยไว้นานวันเข้า อาณาจักรหินปูนของเจ้าเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะยิ่งพอกพูนหนาขึ้น ขณะที่ผิวเคลือบฟันและเนื้อฟันค่อย ๆ ผุกร่อนลง
ที่สำคัญเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหินปูนขั้นนี้ สามารถจะติดต่อถึงกันได้ เพียงแค่เรารับประทานอาหารร่วมช้อนเดียวกัน
มีวิธีการใดบ้างที่จะช่วยปกป้องฟันจากหินปูน
นอกหนือจากการแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง หรือจะให้ดีควรแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อแล้ว เราสามารถปกป้องฟันของเรา ให้ห่างไกลจากหินปูนได้อย่างแน่นอนขึ้นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
หลังจากที่รับประทานอาหารเปรี้ยว ๆ หรืออาหารประเภทที่มีกรด อย่างเช่น ผลไม้บางชนิดไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแปรงฟันทันที แต่ควรจะแปรงหลังจากนั้นสัก 20 นาที ทั้งนี้เนื่องจากกรดจากผลไม้มีฤทธิ์กัดกร่อนผิวเคลือบฟันได้ ด้วยเหตุนี้แทนที่จะดี กลับกลายเป็นการไปขัดขวางแร่ธาตุในน้ำลาย ที่จะคอยช่วยสมานผิวเคลือบฟันให้กลับเป็นปกติ
ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากการแปรงฟันธรรมดา ไม่สามารถจะซอกซอนเข้าไปขจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันแต่ละซี่ได้ และหากใช้ไหมขัดฟันที่เคลือบฟูลออไรด์ด้วยก็ยิ่งดี
แต่ละครั้งที่แปรงฟันควรแปรงให้ทั่วถึงฟันทุกซี่ แต่ไม่ควรใช้แรงกดเวลาแปรง และไม่ควรแปรงนานเกินกว่า 3 นาที มิฉะนั้นอาจทำให้ผิวเคลือบฟันสึกกร่อนได้
ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เป็นประจำทุกวัน เพราะฟลูออไรด์ช่วยต้านทานการผุกร่อนของเนื้อฟันได้
หลังจากที่แปรงฟันแล้ว อย่าเพิ่งบ้วนน้ำล้างปากทันที แต่ควรจะปล่อยให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันซึมซาบเข้าสู่เนื้อฟันได้สักพัก แล้วจึงค่อยบ้วนน้ำล้างปากออก
หลังอาหารแต่ละมื้อควรเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ทั้งนี้เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลั่งน้ำลาย ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยล้างปาก และช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่คอยจ้องจะก่อคราบหินปูน อีกทั้งความเหนียวหนึบของยางหมากฝรั่ง ยังช่วยทำให้เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันบางส่วน หลุดติดออกมากับหมากฝรั่งได้อีกด้วย
หลังจากแปรงฟันก่อนเข้านอนแล้ว ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย เพื่อลดจำนวนเชื้อโรคในช่องปากที่หลงเหลืออยู่ให้น้อยที่สุด
ทุก ๆ สามเดือนควรเปลี่ยนแปรงสีฟันใหม่ ทั้งนี้เพราะนอกจากขนแปรงที่ใช้งานมานานจะบานเสียรูปทรงแล้ว สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามซอกขนแปรง ยังเป็นแหล่งหมักหมมสะสมของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี
ควรพบทันตแพทย์ เพื่อให้ตรวจสุขภาพฟันและขูดหินปูนเป็นประจำทุกหกเดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง
หากการป้องกันหินปูนสายเกินไปแล้วจะมีวิธีการใดช่วยแก้ไขได้อีก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ตรวจพบว่า ฟันของคุณเริ่มมีหินปูนมาเกาะ คุณควรจะรีบกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นหินปูนดังกล่าวจะขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ฟันของคุณผุกร่อนได้ในที่สุด
สำหรับวิธีการขจัดหินปูนออกไป ปัจจุบันนี้ในวงการแพทย์ มีเทคนิคขูดหรือกรอหินปูนได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น ซึ่งช่วยให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะเหงือกถลอกปอกเปิดกับการขูดหินปูนอีกต่อไป
นอกจากนี้ในบางประเทศยังได้มีการนำเลเซอร์มาใช้ในการขูดหินปูนด้วย นับเป็นวิวัฒนาการใหม่อย่างหนึ่งของวงการทันตแพทย์ ซึ่งการใช้เลเซอร์ดังกล่าวช่วยทำให้คนไข้แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ในขณะที่คราบหินปูนถูกเลเซอร์ขูดออกไปเป็นผุยผง
เท่านั้นไม่พอ ยังมีวิธีการใหม่ล่าสุดที่คาดว่าจะได้รับความนิยมยิ่งกว่าเลเซอร์ นั่นคือ การใช้เจลพิเศษ ซึ่งเพียงป้ายเจลตรงบริเวณที่มีหินปูนเกาะอยู่ภายใน 30 วินาที เจลจะทำให้คราบหินปูนอ่อนตัวลงจากนั้นหมอก็จะขูดเบา ๆ ตรงบริเวณดังกล่าว คราบหินปูนก็จะหลุดออกไปอย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อเหงือกและฟัน
พัฒนาการของการขจัดคราบหินปูน
คาดว่าในอนาคตอันใกล้ วัคซีนป้องกันการก่อตัวของหินปูนจะสามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งวัคซีนชนิดนี้ เป็นผลงานการค้นคว้าของนักวิจัยชาวอังกฤษ โดยประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวเท่าที่วิจัยพบในขณะนี้ สามารถช่วยปกป้องการก่อตัวของหินปูนที่เกาะบนฟันได้นานถึง 1 ปี
ฟันสวยสุขภาพดีตลอดชีวิตเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ หากเรารู้จักดูแลรักษาฟันให้รอดพ้นจากการเกาะตัวของคราบหินปูน